“รำสวด” เป็นการแสดงพื้นบ้านกึ่งมหรสพกึ่งพิธีกรรม ที่มีรากฐานผูกพันกับความเชื่อของผู้คนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความเชื่อเรื่อง การส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับให้ไปสู่สุคติภพ การรำสวดจึงไม่ใช่เพียงการแสดงเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนสายใยของครอบครัวและชุมชน
ตามคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ รำสวดจัดขึ้นเฉพาะใน งานศพ เท่านั้น จุดประสงค์คือเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศพและเจ้าภาพในยามโศกเศร้า การแสดงเริ่มต้นหลังพระสวดเสร็จ และจะดำเนินไปจนถึงรุ่งเช้า ทำให้ค่ำคืนอันหม่นหมองกลับมีชีวิตชีวา บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้อง เสียงดนตรี และการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
ในอดีต การรำสวดจะเริ่มด้วยการสวด พระมาลัย ซึ่งถือเป็นการเปิดเรื่องราวทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นสิริมงคล และเมื่อการแสดงใกล้สิ้นสุด จะปิดท้ายด้วยบทสำคัญที่สุดที่เรียกว่า “บทส่งเปรต” เป็นบทสวดส่งวิญญาณผู้ตายให้ไปสู่สุคติภพ ช่วงเวลานี้ตรงกับตอนฟ้าสาง หรือที่เรียกว่า “เปิดสาง” ซึ่งถือเป็นหัวใจของพิธี บรรดาลูกหลานและญาติพี่น้องจะมาร่วมกันในพิธีนี้ด้วยความศรัทธา
แต่เดิม ผู้แสดงจะตั้ง ตู้พระธรรม ด้านหน้าและวาง คัมภีร์พระมาลัย ไว้ จากนั้นผู้ร้องจะขับกลอนตามตัวอักษรในใบลาน เสียงร้องขรึมขลังสะท้อนความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรม ต่อมาเมื่อกาลเวลาผ่านไป รูปแบบการรำสวดได้ปรับเปลี่ยน เนื้อหาที่นำมาร้องไม่ได้จำกัดอยู่เพียงพระมาลัย แต่ยังหยิบยกเรื่องราวจาก วรรณคดีไทย เช่น พระอภัยมณี พระรถเมรี และ ขุนช้าง–ขุนแผน มาประยุกต์เข้ากับทำนองรำสวด ทำให้การแสดงยังคงน่าสนใจและเข้าถึงผู้ฟังรุ่นใหม่
หัวใจสำคัญของการรำสวดคือ เสียงร้อง ผู้ร้องนำอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ แต่ต้องเลือกผู้ที่มีเสียงดัง ชัดเจน และมั่นคง เพื่อให้คนทั้งงานได้ยิน โดยทั่วไป คณะอรชุน ลูกสุนทรภู่ จะมีนักร้องชาย 4 คน และหญิง 4 คน คอยสลับกันร้องนำและร้องรับ เสียงโต้ตอบเหล่านี้ทำให้การรำสวดมีชีวิตชีวาและตรึงผู้ฟังไว้ได้ตลอดทั้งคืน
เครื่องดนตรีประกอบมีเพียงไม่กี่ชนิด ได้แก่ กรับ ฉิ่ง และกลองสองหน้า แต่กลับสร้างพลังทางจังหวะได้อย่างน่าทึ่ง ดนตรีที่เรียบง่ายแต่หนักแน่นช่วยขับเน้นเสียงร้องให้มีพลังและความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น
การแต่งกายในอดีตเป็นเพียงชุดธรรมดา แต่ปัจจุบันเพื่อความเหมาะสมกับงานศพ ผู้รำสวดของคณะอรชุนจะสวม ชุดดำสุภาพ จะเป็นกางเกงหรือกระโปรงก็ได้ เพื่อแสดงความเคารพต่อผู้วายชนม์
ที่สำคัญ คณะยังมีกติกาที่ถือเป็นวินัยร่วมกันคือ ห้ามดื่มสุราก่อนขึ้นแสดง หากใครฝ่าฝืนจะถูกเปลี่ยนตัวทันที กฎนี้ไม่เพียงแสดงถึงความมีระเบียบวินัย แต่ยังสะท้อนความเคารพต่อพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย
แม้รำสวดจะเป็นการแสดงในงานศพ แต่แท้จริงแล้ว มันคือ ศิลปะแห่งการเยียวยาจิตใจ เสียงร้องกลอนโต้ตอบประกอบจังหวะดนตรีช่วยลดทอนบรรยากาศแห่งความเศร้า ทำให้ญาติและผู้มาร่วมงานรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพัง หากแต่มีทั้งชุมชนร่วมส่งผู้ตายไปสู่สุคติ
สำหรับ รำสวดคณะอรชุน ลูกสุนทรภู่ วัดป่ากร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง นี่คือสิ่งที่พวกเขาภูมิใจที่จะสืบสานและถ่ายทอดต่อไป เพื่อไม่ให้ศิลปะการแสดงเก่าแก่ที่มีอายุนานกว่าหนังตะลุงต้องสูญหายไปจากผืนแผ่นดินระยอง
งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า “รำสวด” ของคณะอรชุน ลูกสุนทรภู่ มิใช่แค่การแสดงมหรสพ แต่เป็นพิธีกรรมที่มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์ ศิลปะ และคุณค่าต่อชุมชน ซึ่งช่วยเยียวยาจิตใจ สะท้อนศรัทธา และรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวัดระยองไว้ได้