เรียนรู้รากเหง้า และเรื่องราวในอดีตของเมืองระยอง
เพื่อเข้าใจอัตลักษณ์ วิถีชีวิต
และความเป็นมาของถิ่นฐานอันทรงคุณค่า
จังหวัดระยองตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย มีพื้นที่ติดอ่าวไทยและอุดมสมบูรณ์ทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ สัตว์น้ำ และดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก ทำให้ดินแดนแห่งนี้มีมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยโบราณ ระยองมิได้เป็นเพียงเมืองชายทะเล แต่ยังมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง การทหาร และวัฒนธรรมของชาติไทยตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา
ในพื้นที่จังหวัดระยองพบหลักฐานโบราณวัตถุหลายประเภท เช่น ขวานหินขัด ลูกปัดแก้ว ภาชนะดินเผา และเศษเครื่องมือหิน ซึ่งแสดงว่ามีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มน้ำประแสและพื้นที่ใกล้ปากแม่น้ำ การตั้งถิ่นฐานเหล่านี้สะท้อนว่าชุมชนโบราณมีการดำรงชีวิตด้วยการประมง การล่าสัตว์ การเก็บของป่า และเริ่มรู้จักเพาะปลูก
ทำเลที่ตั้งของระยองติดชายฝั่งทะเล ทำให้กลายเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างชุมชนชายฝั่งกับชุมชนภายในแผ่นดิน ร่องรอยทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่า มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับแหล่งอื่น เช่น เครื่องประดับหิน ลูกปัดแก้ว และเครื่องมือสำริด ซึ่งอาจมาจากการค้าขายทางทะเลในระดับภูมิภาค
เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคที่อารยธรรมทวารวดีและขอมมีอิทธิพลในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยองก็ตกอยู่ในเขตวัฒนธรรมนั้นเช่นกัน มีร่องรอยโบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่น พระพุทธรูปหินทราย ศิลาแกะสลัก และร่องรอยคูเมืองโบราณ ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์เข้ามาสู่ชุมชน
การติดต่อค้าขายทางทะเลยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ระยองในยุคนี้อาจเป็นทั้งแหล่งผลิตและแหล่งผ่านของสินค้า เช่น เกลือทะเล สัตว์น้ำแห้ง รวมถึงของป่าและไม้หอม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีค่ามากในเครือข่ายการค้าโบราณ
เมื่ออาณาจักรอยุธยาขยายอำนาจมาถึงหัวเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออก เมืองระยองได้รับการยกฐานะเป็นเมืองหน้าด่าน ทำหน้าที่ทั้งป้องกันศัตรูและเป็นจุดรวบรวมสินค้าเพื่อการค้า การติดต่อทางทะเลกับชาวจีนและชาวต่างชาติมีความสำคัญมากขึ้น
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติไทยที่เกี่ยวข้องกับระยองเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2310 หลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้นำไพร่พลออกจากกรุง และเสด็จมายังเมืองระยองเพื่อรวบรวมกองกำลัง ตำนานท้องถิ่นบอกว่าพระองค์ได้ประทับที่วัดลุ่มมหาชัยชุมพล และได้รับการช่วยเหลือจากชาวเมืองทั้งด้านกำลังพลและเสบียง ก่อนจะเคลื่อนทัพไปยังจันทบุรีเพื่อสร้างความมั่นคงในการกอบกู้เอกราช
เมื่อพระเจ้าตากสินสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี เมืองระยองจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ถูกใช้เป็นฐานที่มั่นด้านการทหารและการคมนาคม การปกครองท้องถิ่นมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองและขุนนางคอยดูแล เพื่อให้แน่ใจว่าหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกยังคงภักดีต่อราชสำนัก
นอกจากความสำคัญด้านการทหารแล้ว ระยองยังคงเป็นเมืองการค้าชายฝั่ง มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวจีนและต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ไม่เพียงรองรับความต้องการท้องถิ่น แต่ยังเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจของราชอาณาจักรโดยรวม
หลังจากตั้งกรุงเทพมหานครเป็นราชธานี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) โปรดให้จัดระบบหัวเมืองชายฝั่งตะวันออก ระยองถูกจัดให้อยู่ในหัวเมืองกลุ่มเดียวกับจันทบุรีและตราด เพื่อใช้เป็นด่านป้องกันการรุกรานจากญวนและเขมร
เศรษฐกิจของระยองในยุคนี้ยังคงพึ่งพาการทำประมง เกลือทะเล และของป่า ซึ่งถูกลำเลียงเข้าสู่กรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการสร้างป้อมและแนวป้องกันชายฝั่งเพื่อป้องกันโจรสลัด ซึ่งมักเข้ามาปล้นสะดมในทะเลอ่าวไทย
ในรัชกาลที่ 4 มีการปรับปรุงการปกครองหัวเมือง โดยระยองถูกจัดให้อยู่ในสังกัดเมืองจันทบุรี และเมื่อถึงรัชกาลที่ 5 ได้มีการปฏิรูปการปกครองมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2435) ระยองจึงถูกจัดให้อยู่ในมณฑลจันทบุรี
เศรษฐกิจท้องถิ่นเจริญขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีทั้งการทำประมงชายฝั่ง การค้าสำเภากับชาวจีน และการเพาะปลูกผลไม้เมืองร้อน เช่น เงาะ มังคุด ทุเรียน ซึ่งกลายเป็นสินค้าที่สร้างชื่อเสียง ถนนและเส้นทางคมนาคมเริ่มขยายตัว ทำให้ระยองติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงได้สะดวกขึ้น
เมื่อมีการเลิกมณฑลเทศาภิบาลในปี พ.ศ. 2476 ระยองได้รับการยกฐานะเป็นจังหวัดเต็มรูปแบบ ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระยองถูกใช้เป็นฐานทัพเรือและมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากอยู่ติดอ่าวไทยและใกล้กับเส้นทางคมนาคมทางทะเล
หลังสงคราม เศรษฐกิจของจังหวัดเจริญขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการทำประมงและการเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ที่ขึ้นชื่ออย่างทุเรียน เงาะ และมังคุด ซึ่งทำให้ระยองมีชื่อเสียงทั่วประเทศ
ก้าวสำคัญของจังหวัดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2524 เมื่อรัฐบาลประกาศโครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program) ทำให้ระยองกลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลังงาน ปิโตรเคมี และการส่งออก การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมนี้ทำให้จังหวัดมีบทบาทในระดับชาติและนานาชาติ
ปัจจุบัน ระยองไม่เพียงแต่มีบทบาทด้านอุตสาหกรรม หากยังเป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยว มีเกาะแก่งและชายหาดสวยงาม เช่น เกาะเสม็ด หาดแม่รำพึง และยังคงรักษามรดกทางวัฒนธรรม เช่น ประเพณีทำบุญกลางบ้าน ประเพณีบวชลูกแก้ว และอาหารพื้นถิ่น โดยเฉพาะ “ผลไม้เมืองระยอง” ที่เป็นเอกลักษณ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ประวัติศาสตร์ของจังหวัดระยองสะท้อนพัฒนาการของเมืองชายฝั่งที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองไทยตั้งแต่ยุคโบราณ ระยองไม่เพียงเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากร แต่ยังเป็นเวทีของเหตุการณ์สำคัญในชาติ เช่น การกอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในปี พ.ศ. 2310
เมื่อเวลาผ่านไป ระยองเปลี่ยนแปลงจากเมืองชายฝั่งที่อาศัยการเกษตรและการประมง ไปสู่การเป็นจังหวัดศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลังงานและการท่องเที่ยวของภาคตะวันออก ทำให้ระยองมีความสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมในระดับประเทศจนถึงปัจจุบัน
เรื่องราวความสัมพันธ์ของระยองกับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์และปัจจุบัน<br>ระยองเป็นจังหวัดที่มีบุคคลสำคัญหลายท่านซึ่งมีบทบาทต่อประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการพัฒนาของท้องถิ่น บุคคลเหล่านี้รวมถึงขุนนาง นักปกครอง ศิลปิน และนักวิชาการที่สร้างผลงานและทิ้งมรดกให้คนรุ่นหลัง เช่น การพัฒนาเมือง การสร้างวัดและโบราณสถาน หรือการส่งเสริมภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ผลงานของบุคคลสำคัญเหล่านี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ ความคิดสร้างสรรค์ และความภักดีต่อชุมชน อีกทั้งยังช่วยสร้างเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจให้กับประชาชนระยอง บุคคลสำคัญเหล่านี้จึงถือเป็นแรงบันดาลใจในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ควรค่าแก่การศึกษาและสืบสาน.
ในห้วงเวลาที่ กรุงศรีอยุธยา ใกล้จะพังทลายลงในปลายปี พ.ศ. 2309 ท่ามกลางความสิ้นหวังและความโกลาหลของแผ่นดิน มีนายทัพผู้หนึ่งที่ตระหนักดีว่าการยืนหยัดอยู่ในพระนครนั้นมีแต่จะสูญสิ้นพลังไปโดยเปล่าประโยชน์ นั่นคือ พระยาตาก ผู้เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
ท่านได้ตัดสินใจครั้งสำคัญและกล้าหาญที่จะไม่ยอมจำนนต่อชะตากรรม แต่เลือกที่จะ ฝ่าวงล้อม กองทัพพม่าที่โอบล้อมกรุงอยู่ เพื่อมุ่งหน้าหาพื้นที่ใหม่ในการสร้างฐานกำลังกอบกู้แผ่นดิน ซึ่งเป็นความคิดที่เหนือกว่าคนในยุคสมัยนั้นอย่างมาก
กองกำลังที่ร่วมออกไปกับท่านมีจำนวนเพียงเล็กน้อย ราว 500 นาย เท่านั้น ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ยังมีศรัทธาต่อการต่อสู้และเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของพระยาตาก พวกเขายอมเสี่ยงชีวิตเดินทางไปกับความหวังริบหรี่
เส้นทางการเดินทัพนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคและความยากลำบาก ต้องเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วผ่านหลายหัวเมืองทางภาคกลางและตะวันออก เช่น สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และชลบุรี โดยมีจุดหมายที่ชัดเจนคือการหลีกหนีจากศูนย์กลางสงคราม
ในที่สุด พระยาตากก็ได้เลือก เมืองระยอง ให้เป็น บาทฐานวีรไทย หรือฐานที่มั่นแรกแห่งการกอบกู้ชาติ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พม่ายังเข้าไม่ถึงและมีทรัพยากรที่สามารถใช้ในการตั้งหลักได้
ท่านได้ใช้พื้นที่บริเวณ วัดลุ่มมหาชัยชุมพล และ วัดเนิน เป็นจุดศูนย์กลางในการจัดตั้งค่ายพักและรวบรวมกำลังพล ซึ่งถือเป็นทำเลทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมทั้งในแง่การป้องกันและการระดมผู้คน
ช่วงเวลาที่พำนักในระยองจึงถือเป็น จุดเปลี่ยน จากกองทหารที่ถอยหนี สู่การเป็นกองทัพที่เริ่มแข็งแกร่งและมีความหวังในการฟื้นฟูบ้านเมืองอย่างแท้จริง
ด้วยบุคลิกที่เคร่งครัดและเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นของพระยาตาก ทำให้ท่านสามารถ หลอมรวมจิตใจ ของชาวระยองและพื้นที่ใกล้เคียงให้เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพได้อย่างรวดเร็ว
จากกำลังพลตั้งต้นเพียง 500 นาย ในเวลาไม่นาน กองกำลังของพระองค์ก็ เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบสิบเท่าตัว จนกลายเป็นทัพใหญ่ที่มีศักยภาพเพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจะสร้างความมั่นคงในฐานทัพนั้น พระยาตากจำเป็นต้อง จัดการกับกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น ที่อาจเป็นภัยต่อเสถียรภาพของกองทัพก่อนที่จะยกไปรบกับข้าศึกภายนอก
ภารกิจสำคัญอย่างหนึ่งคือการ ปราบปรามทองอยู่นกเล็ก ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นระยอง การจัดการกับกลุ่มนี้ถือเป็นการรวมอำนาจการปกครองให้เป็นเอกภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมือง
นอกจากการรวมอำนาจภายในแล้ว ท่านยังได้ดำเนินภารกิจสำคัญในการ สานสัมพันธ์กับหัวเมืองใกล้เคียง โดยเฉพาะการ ทอดไมตรีจันทบูร เพื่อให้เมืองจันทบุรีเป็นเป้าหมายต่อไปในการสร้างเครือข่ายอำนาจทางตะวันออก
พร้อมกันนั้นก็มีการติดต่อเพื่อ ผูกมิตรกับพุทไธมาส ซึ่งเป็นเจ้าเมืองที่มีอิทธิพล เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือด้านเสบียงอาหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นต่อการบำรุงกองทัพที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ความสำเร็จในการรวบรวมกำลังพล จัดการภายใน และประสานงานภายนอกในเมืองระยองนี้เอง ทำให้กองกำลังกู้ชาติของพระองค์มีความพร้อมอย่างสมบูรณ์ทั้งในด้านทหาร เสบียง และกลยุทธ์
ระยองจึงเปรียบเสมือน ก้อนอิฐฐานราก ที่มั่นคงแข็งแกร่ง ซึ่งพระยาตากใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างกรุงธนบุรีขึ้นมาใหม่ หลังจากที่พระองค์เคลื่อนทัพออกจากระยองไปสู่จันทบุรี และนำไปสู่ยุทธการกู้เอกราชที่ใช้เวลาเพียง 308 วัน นับเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักและเคารพของชาวระยองตลอดมา
หากเอ่ยชื่อ “สุนทรภู่” หรือ พระสุนทรโวหาร คนไทยแทบทุกคนคงคุ้นหูในฐานะกวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้ฝากผลงานกวีนิพนธ์ไว้ให้คนรุ่นหลังนับไม่ถ้วน ทว่าเบื้องหลังชีวิตและแรงบันดาลใจนั้น เริ่มต้นจากจังหวัดเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเลตะวันออก—ระยอง
สุนทรภู่ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2329 ที่บ้านกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง ยุคนั้นบ้านกร่ำยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเงียบสงบ รายล้อมด้วยป่าเขียวชอุ่มและทะเลกว้างใหญ่ เสียงคลื่นซัดฝั่ง เสียงเรือประมงพื้นบ้าน และกลิ่นเค็มของทะเล คือบรรยากาศที่โอบล้อมวัยเยาว์ของเขา และหล่อหลอมให้เด็กชายผู้หนึ่งค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นกวีผู้ยิ่งใหญ่
แม้ต่อมาสุนทรภู่จะเข้ากรุงเพื่อศึกษาและรับราชการ แต่ “ทะเลระยอง” ไม่เคยจางหายจากความทรงจำ หลักฐานสำคัญคือบทกวียิ่งใหญ่ พระอภัยมณี ที่เปิดเรื่องด้วยการเดินทางทางทะเล เต็มไปด้วยฉากการผจญภัยบนเกาะแก่ง ท้องฟ้า และน้ำทะเลที่มีทั้งความงดงามและความน่าหวาดหวั่น ภาพเหล่านี้สะท้อนความผูกพันของผู้เขียนที่มีต่อบ้านเกิดอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าสนใจคือ พระอภัยมณี ไม่ได้เป็นเพียงวรรณคดี แต่ยังเชื่อมโยงกับสถานที่จริงในจังหวัดระยองและใกล้เคียง เช่น
เกาะแก่งแถบแหลมแม่พิมพ์ : ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแรงบันดาลใจของเกาะแก้วพิสดาร ดินแดนสำคัญที่พระอภัยมณีและนางเงือกอาศัย
หาดกร่ำ–แหลมแม่พิมพ์ : สถานที่ที่ชาวท้องถิ่นผูกโยงกับฉากที่พระอภัยมณีได้พบกับนางเงือก
ถ้ำเขาและผาหิน บริเวณชายฝั่งตะวันออก : มีการเล่าขานว่าน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากการต่อสู้กับผีเสื้อสมุทร อมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่อง
ทุกสถานที่จึงไม่ใช่เพียงภูมิทัศน์ธรรมชาติ แต่ยังกลายเป็น “วรรณคดีภูมิทัศน์” ที่หล่อหลอมและสืบทอดเรื่องราวกวีนิพนธ์ไว้จนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบัน จังหวัดระยองภาคภูมิใจในฐานะบ้านเกิดของกวีเอกคนนี้ มี อนุสาวรีย์สุนทรภู่ ตั้งอยู่ที่บ้านกร่ำ ริมทะเลแหลมแม่พิมพ์ อำเภอแกลง เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา และในทุกวันที่ 26 มิถุนายน “วันสุนทรภู่” ชาวระยองจะจัดงานรำลึก พร้อมกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมและวรรณกรรมอย่างคึกคัก
ดังนั้น สุนทรภู่ไม่ใช่เพียงกวีแห่งราชสำนัก หรือกวีแห่งชาติ แต่ยังเป็น “กวีแห่งระยอง” ที่นำเอาความทรงจำจากทะเลและวิถีชีวิตบ้านเกิดมาสร้างสรรค์วรรณกรรมอันยิ่งใหญ่ ที่ยังคงเปล่งประกายจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเอ่ยถึงประวัติศาสตร์เมืองระยอง หนึ่งในชื่อที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ พระศรีสมุทรโภค (อิ่ม ยมจินดา) เจ้าเมืองระยองคนสุดท้าย ผู้สืบเชื้อสายตระกูลยมจินดา ตระกูลใหญ่ที่มีบทบาททางการปกครองหัวเมืองชายทะเลตะวันออกมายาวนาน
พระศรีสมุทรโภคมีนามเดิมว่า อิ่ม เกิดเมื่อ พ.ศ. 2403 เป็นบุตรของพระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) กับคุณหญิงเจียก ยมจินดา ชีวิตครอบครัวของท่านเรียบง่ายตามวิถีเจ้าเมืองหัวเมือง แต่ก็อบอวลด้วยความรับผิดชอบ ท่านมีครอบครัวใหญ่และมีบุตรหลายคนจากการสมรสสามครั้ง
ในวัยเยาว์ ท่านเรียนภาษาไทย ขอม และคณิตศาสตร์จนแตกฉาน ก่อนจะเข้ารับราชการกับบิดาในตำแหน่ง หลวงราชภัคดีสงคราม ปลัดเมืองระยอง ต่อมาได้เดินทางไปศึกษาระเบียบการปกครองที่มณฑลอยุธยา และสอบไล่ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้กลายเป็นผู้รอบรู้ด้านการปกครองในยุครัชกาลที่ 5 จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าเมือง
ตลอดชีวิตราชการ พระศรีสมุทรโภคเคยดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองระยอง เจ้าเมืองชลบุรี และเจ้าเมืองสุพรรณบุรี แต่ตำแหน่งสุดท้ายคือการกลับมารับราชการเป็นเจ้าเมืองระยองอีกครั้ง จนเกษียณอายุ
ผลงานของท่านโดดเด่นด้าน การวางระเบียบการปกครองและพัฒนาท้องถิ่น เช่น
จัดระบบการปกครองหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ตั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
จัดตั้งอำเภอไผ่ล้อม (ปัจจุบันคืออำเภอบ้านค่าย)
ตัดถนนหลายสายสำคัญในระยอง เช่น ถนนชุมพล ถนนเชื่อมอำเภอบ้านค่าย–ท่าประดู่ ถนนไปเพ–แกลง–สัตหีบ รวมถึงเส้นทางไปเนินพระ–กรอกยายชา
สร้างศาลากลางจังหวัดระยอง (ปัจจุบันถูกรื้อแล้ว)
เมื่อไปดำรงตำแหน่งที่ชลบุรี ก็ได้พัฒนาถนนเลียบทะเลไปบ้านอ่างศิลา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พักตากอากาศ
พระศรีสมุทรโภคเป็นคนขยัน ไม่เคยอยู่นิ่ง ท่านมักหางานทำ เช่น ปลูกบ้าน ทำเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ และยังสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ พุทธศาสนา และอรรถคดีอย่างจริงจัง
ในบั้นปลายชีวิต ท่านล้มป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับลำไส้ และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2484 สิริอายุได้ 79 ปีเศษ ปิดฉากบทบาทเจ้าเมืองระยองคนสุดท้าย แต่ชื่อของพระศรีสมุทรโภคยังคงถูกกล่าวถึงในฐานะข้าราชการผู้ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพัฒนาบ้านเมือง
แม้ไม่ใช่บุคคลทางการเมือง แต่ก็เป็นตัวแทนวัฒนธรรมของระยอง เช่น
ปราชญ์ชาวบ้าน ด้านดนตรีพื้นบ้าน เช่น เพลงฉ่อย เพลงกล่อม เพลงเรือ
ช่างฝีมือพื้นบ้าน เช่น การจักสาน ทำงอบระยอง ทำกะลามะพร้าว
ผู้บุกเบิกสวนผลไม้ ที่ทำให้ระยองมีชื่อเสียงด้านทุเรียน มังคุด เงาะ