ร้อยเรื่องเมืองระยอง

การแสดง

“การแสดงพื้นบ้าน งามตระการศิลป์วัฒนธรรม ถ่ายทอดชีวิตชุมชน สืบสานคุณค่าแห่งระยอง

มหรสพพื้นบ้านของระยองเป็นการแสดงศิลปวัฒนธรรมที่สะท้อนวิถีชีวิตและความเชื่อของชุมชน ท่ารำ เพลงพื้นเมือง และละครท้องถิ่นเป็นส่วนสำคัญที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตประจำวันและประวัติศาสตร์ชุมชน การรำและดนตรีมักผสมผสานจังหวะของธรรมชาติและกิจกรรมการเกษตร ทำให้เกิดความสนุกสนานและความมีชีวิตชีวา การแสดงเหล่านี้มักจัดในงานประเพณีและเทศกาลท้องถิ่น เป็นทั้งความบันเทิงและเครื่องมือสืบสานวัฒนธรรม ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการแสดงและฝึกฝนศิลปะเหล่านี้ตั้งแต่เด็กจนโต อาหารพื้นบ้านและเครื่องดื่มท้องถิ่นมักจัดคู่กับการชมมหรสพ ทำให้เกิดความผูกพันและความอบอุ่นในชุมชน มหรสพยังเป็นช่องทางการเรียนรู้และการถ่ายทอดภูมิปัญญาของผู้เฒ่าผู้แก่สู่คนรุ่นใหม่ การอนุรักษ์มหรสพจึงสำคัญต่อการรักษาเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจของชาวระยอง และเป็นแรงดึงดูดทางวัฒนธรรมสำหรับผู้มาเยือนจังหวัด.

มหรสพระยอง

ไอ้เป๋

ไอ้เป๋ในจังหวัดระยอง เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น คล้ายเพลงฉ่อยภาคกลาง แต่มีทำนองและสำเนียงเฉพาะของระยอง ผู้แสดงแบ่งเป็นฝ่ายชายและหญิง ร้องโต้ตอบเกี้ยวพาราสี มีลูกคู่ช่วยตบมือเป็นจังหวะแทนเครื่องดนตรี

การแสดงมักจัดในลานวัดหรืองานบุญ ผู้แสดงสวมชุดไทยพื้นเมือง การแสดงเริ่มจากบทไหว้ครู ต่อด้วยบทชมโฉมและบทชวนหนี เนื้อหามีทั้งเรื่องทางโลก ทางธรรม และความรัก มักใช้คำสองแง่สองง่ามเพื่อความสนุกสนาน ลูกคู่มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มชีวิตชีวาและสนับสนุนพ่อเพลง–แม่เพลง

ไอ้เป๋สะท้อนภูมิปัญญาและไหวพริบของคนในชุมชน ผู้แสดงต้องฝึกฝนทั้งกลอน ท่าทาง และการโต้ตอบสด ทำให้เป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน แม้ปัจจุบันการแสดงจะลดน้อยลง แต่ยังคงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรอนุรักษ์

แม้ไอ้เป๋จะได้รับอิทธิพลจากเพลงฉ่อย แต่ก็ปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับท้องถิ่นระยอง ทั้งสำเนียง ท่าทาง และเนื้อหา ทำให้มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร การแสดงนี้ไม่เพียงเพื่อความบันเทิง แต่ยังเป็นสื่อกลางสร้างความสามัคคี สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และภาคภูมิใจในศิลปะพื้นบ้านของตน

หนังใหญ่วัดบ้านดอน

หนังใหญ่วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง เป็นมหรสพชั้นสูงของไทยที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี มีคุณค่าทางวัฒนธรรมเทียบได้กับโอเปร่าในยุโรป โดยผสานวรรณกรรม นาฏกรรม หัตถกรรม และดุริยางคศิลป์ไว้ในการแสดงเดียว ปัจจุบันเหลือแหล่งอนุรักษ์หนังใหญ่เพียง 3 แห่งในประเทศ ได้แก่ วัดบ้านดอน ระยอง, วัดขนอน ราชบุรี และวัดสว่างอารมณ์ สิงห์บุรี

อำไพ บุญรอด ศิลปินท้องถิ่นผู้เติบโตมากับศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูหนังใหญ่วัดบ้านดอน ตั้งแต่ปี 2543 หลังจากมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ตัวหนังในช่วงปี 2538–2539 เขาได้รับการถ่ายทอดการพากย์หนังจากครูอำนาจ มณีแสง และกลายเป็นผู้พากย์หลักของคณะ รวมทั้งเป็นผู้จัดการและครูฝึกเยาวชนในชุมชน

อำไพปรับการแสดงหนังใหญ่ให้ร่วมสมัย เช่น เขียนบทใหม่ แกะตัวหนังใหม่ และสอดแทรกภาษาท้องถิ่นระยอง เพื่อให้เข้าถึงผู้ชมยุคใหม่มากขึ้น พร้อมจัดเทศกาล “ไฟกะลา” ประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้สัมผัสศิลปะนี้อย่างใกล้ชิด

แม้รายได้จากการแสดงไม่มั่นคง แต่อำไพยังคงสืบสานศิลปะหนังใหญ่ด้วยใจรัก ถ่ายทอดความรู้ให้เยาวชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามรดกวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่ และเป็นความภาคภูมิใจของจังหวัดระยองสืบไป

หนังตลุง

หนังตะลุงระยอง คณะ ส.ศิษย์กระบกขึ้นผึ้ง
เป็นคณะศิลปะการแสดงพื้นบ้านที่นำหนังตะลุง ซึ่งมีต้นกำเนิดจากภาคใต้ มาประยุกต์ให้เข้ากับบริบทของจังหวัดระยอง ทั้งในด้านภาษา วิถีชีวิต และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยยังคงรักษาโครงสร้างหลักของหนังตะลุงไทยไว้อย่างครบถ้วน

จุดเด่นของคณะนี้คือการใช้กลอนสดและภาษาท้องถิ่นระยองในการพากย์ เสริมด้วยมุขตลก เสียดสีสังคม และข้อคิดเชิงสร้างสรรค์ ตัวหนังถูกออกแบบอย่างประณีต สะท้อนอัตลักษณ์ของภาคตะวันออก ทั้งรูปทรง สีสัน และลวดลายดั้งเดิมผสมร่วมสมัย การแสดงยังผสานเสียงดนตรีไทยพื้นบ้าน ทำให้เข้าถึงผู้ชมทุกวัยได้อย่างสนุกสนาน

คณะ ส.ศิษย์กระบกขึ้นผึ้ง ไม่เพียงเป็นคณะบันเทิง แต่ยังเป็นกระบอกเสียงของชุมชน ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตประจำวัน ปัญหาสังคม และภูมิปัญญาชาวบ้านด้วยภาษาง่าย ๆ ที่เข้าถึงใจคนดู เป็นส่วนสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปะการแสดงพื้นบ้านให้คงอยู่ในสังคมร่วมสมัย

ปัจจุบันคณะยังคงแสดงในงานบุญ งานประเพณี และเทศกาลท้องถิ่นต่าง ๆ ในจังหวัดระยอง สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของหนังตะลุงในฐานะศิลปะที่เชื่อมโยงผู้คน สร้างความสุข และรักษารากเหง้าวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ต่อไป

รำวงย้อนยุค

รำวงย้อนยุค คือการละเล่นพื้นบ้านที่เคยเป็นสีสันสำคัญของงานวัดในอดีต สะท้อนวิถีชีวิต ความรื่นเริง และมารยาทไทยได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในภาคตะวันออก เช่น จังหวัดระยอง รำวงย้อนยุคยังคงได้รับความนิยมและถูกนำกลับมาแสดงในงานบุญ งานประเพณี และกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมต่าง ๆ

การแสดงรำวงย้อนยุคมีจุดเด่นคือใช้บทเพลงลูกทุ่งเก่า เพลงรำวงมาตรฐาน และดนตรีสดควบคู่กับลีลาร่ายรำอ่อนช้อย นักแสดงมักแต่งกายด้วยชุดไทยย้อนยุค เช่น เสื้อคอกระเช้า ผ้าถุงโจงกระเบน หรือผ้าแถบ สร้างบรรยากาศชวนรำลึกถึงวันวานในงานวัดยุคก่อน

หนึ่งในคณะรำวงที่ได้รับความนิยมคือ “สกุลรัตน์ รำวงย้อนยุค” ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมกับผู้ชม เชิญชวนให้ร่วมรำวงกลางวงอย่างสนุกสนาน ไม่ใช่แค่การแสดงให้ดู แต่เป็นประสบการณ์ที่มีชีวิต อีกหลายคณะในพื้นที่ก็มีบทบาทเช่นเดียวกัน โดยแต่ละคณะจะมีจุดเด่นด้านเพลง การแต่งกาย หรือลีลารำที่แตกต่างกัน

รำวงย้อนยุคจึงเป็นมากกว่าความบันเทิง หากแต่เป็น การอนุรักษ์วัฒนธรรมและการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่ช่วยถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยสู่คนรุ่นใหม่ และเติมชีวิตชีวาให้กับวัฒนธรรมงานวัดไทยในยุคสมัยใหม่

หมอขวัญ

หมอทำขวัญ – ผู้สืบสานพิธีกรรมพื้นบ้านของระยอง

ในจังหวัดระยองยังคงมี หมอทำขวัญ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสืบสาน พิธีกรรมพื้นบ้าน ที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและวิถีชีวิตของชุมชน โดยเฉพาะในพิธี ทำขวัญนาค และ ทำขวัญข้าว ซึ่งสะท้อนความศรัทธาและสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและศาสนา

หมอทำขวัญจะใช้การ ขับลำกลอนสด ทำนองพื้นบ้านที่ไพเราะ ประกอบดนตรีไทย เช่น กลอง ฉิ่ง และฉาบ สร้างบรรยากาศที่ ศักดิ์สิทธิ์ อบอุ่น และเปี่ยมด้วยพลังใจ เนื้อหากลอนมักกล่าวถึงคุณของบิดามารดา ครูบาอาจารย์ การเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ชีวิตใหม่ หรือการขอขมาและให้พรตามโอกาส

แม้โลกจะเปลี่ยนไป แต่ หมอทำขวัญในระยองยังคงมีบทบาทในงานบุญ งานบวช งานแต่งงาน และพิธีมงคลต่าง ๆ โดยเฉพาะในชุมชนชนบทหรือครอบครัวที่ยังให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียมดั้งเดิม พิธีทำขวัญจึงไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการ ถ่ายทอดศิลปะ วัฒนธรรม และความศรัทธา สู่คนรุ่นหลัง

หมอทำขวัญจึงเป็นมากกว่าผู้กล่าวกลอน แต่เป็น ผู้เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน เป็นภาพแทนของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งต่อ เพื่อให้วัฒนธรรมพื้นบ้านไทยยังคงมีชีวิตอยู่ในสังคมสมัยใหม่

ลำตัด

ลำตัดระยอง – ศิลปะโต้ตอบแห่งเสียงเพลงและปัญญา

ลำตัด เป็นศิลปะการขับร้องพื้นบ้านของไทยที่มีความเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะในจังหวัดระยองที่ยังคงสืบทอด ลำตัดแบบโต้ตอบ ระหว่างนักร้องชาย–หญิง ใช้ กลอนสดแบบร้อยแก้วหรือร้อยกรอง ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตประจำวัน ความรัก มุขตลก เสียดสี และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้อย่างสนุกสนาน

การแสดงลำตัดจะมี วงดนตรีไทยพื้นบ้าน ประกอบจังหวะ เช่น โทน รำมะนา ฉิ่ง และกรับ ทำให้การร้องมีชีวิตชีวา พร้อมลูกคู่ช่วยเสริมจังหวะและเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชม ผู้แสดงต้องมีไหวพริบดี ใช้คำคล้องจองเป็น และโต้ตอบกันอย่างฉับไว จึงถือเป็นการแสดงที่ใช้ทั้งความสามารถด้านภาษาและการแสดงร่วมกัน

ในจังหวัดระยอง ลำตัดยังคงปรากฏในงานบุญ งานประเพณี และเทศกาลท้องถิ่น เช่น งานสงกรานต์ งานลอยกระทง หรืองานวัด โดยคณะลำตัดในพื้นที่มักแต่งกายย้อนยุค เพื่อสร้างบรรยากาศพื้นบ้านให้สมจริงและใกล้ชิดกับชุมชน

แม้ในปัจจุบันรูปแบบความบันเทิงจะเปลี่ยนไป แต่ลำตัดยังคงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการ สืบสานวัฒนธรรมไทย ถ่ายทอดอารมณ์ขัน ปัญญา และมิตรภาพให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ผ่านเสียงเพลงพื้นบ้านที่มีชีวิต

รำโทน

รำโทนพื้นบ้านระยอง – จังหวะแห่งวัฒนธรรมที่ยังเต้นอยู่

รำโทน คือการละเล่นพื้นบ้านที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูงในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 มีลักษณะเด่นคือการร้องเล่นเป็นหมู่ ประกอบจังหวะจาก กลองโทน ฉิ่ง ฉาบ และการร่ายรำแบบสนุกสนาน สื่อถึงชีวิตชาวบ้านอย่างเรียบง่ายและมีอารมณ์ขัน

ในปัจจุบัน จังหวัดระยอง ยังมีคณะรำโทนที่คงเอกลักษณ์การแสดงแบบดั้งเดิมไว้ได้ไม่กี่คณะ โดยหนึ่งในคณะที่ยังคงเคลื่อนไหวและได้รับความนิยมคือ คณะลุงอุ้ย ขาวโชติ ซึ่งนำโดย นายอุ้ย ขาวโชติ และ นายเจษฎา ปะสิ่งชอบ คณะมีสมาชิกประมาณ 15 คน มีที่ตั้งอยู่ที่ บ้านเลขที่ 18 หมู่ 2 ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
ผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 081-8613315 หรือผ่านเว็บไซต์หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: rayong-pao.go.th

คณะนี้มีจุดเด่นที่การอนุรักษ์รูปแบบรำโทนแบบดั้งเดิม ทั้งในด้านทำนอง การแต่งกาย และลีลาการรำ อีกทั้งยังแสดงในงานบุญ งานวัด และกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมในท้องถิ่น ทั้งยังมีชุมชนที่ยังสืบสานรำโทนอยู่ เช่น บ้านชากโดน อำเภอแกลง (อ้างอิง: m-culture.in.th)

รำโทนระยอง จึงไม่เพียงแต่เป็นศิลปะการแสดง แต่ยังเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงคนในชุมชน ถ่ายทอดความสุข และอนุรักษ์วัฒนธรรมให้คงอยู่ในชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่

สวดคฤหัสถ์

สวดคฤหัสถ์ระยอง – เสียงหัวเราะท่ามกลางความเศร้า

สวดคฤหัสถ์ เป็นการแสดงพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดระยอง ซึ่งนิยมจัดใน งานศพ เพื่อช่วย ผ่อนคลายความโศกเศร้า และเติมชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศที่เงียบเหงา

การสวดคฤหัสถ์มีลักษณะ เลียนแบบการสวดพระอภิธรรมของพระสงฆ์ แต่ใช้รูปแบบการขับร้องแบบพื้นบ้านแทน โดยผู้แสดงจะเลือก บทสวดที่แต่งขึ้นเอง หรือดัดแปลงจากของเดิมให้มีความสนุกสนาน ขำขัน และสอดแทรกคติสอนใจ มักมี เสียงดนตรีไทยพื้นบ้าน เช่น กลอง โหม่ง ฉิ่ง ฉาบ ประกอบจังหวะให้การแสดงมีความคึกคัก

นอกจากมุกตลกและการโต้ตอบอย่างมีไหวพริบแล้ว สวดคฤหัสถ์ยังสะท้อนความสามารถในการ ใช้ภาษาไทยอย่างชาญฉลาด ผ่านกลอนสดและบทขับร้องที่เรียกเสียงหัวเราะได้แม้ในงานเศร้า

แม้ว่าในปัจจุบันรูปแบบพิธีศพจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ในบางพื้นที่ของระยอง โดยเฉพาะในชุมชนที่ยังยึดมั่นในวัฒนธรรมดั้งเดิม การสวดคฤหัสถ์ยังคงมีให้เห็น และได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น

สวดคฤหัสถ์ระยอง จึงเป็นมากกว่าการละเล่นในงานศพ หากแต่เป็น ศิลปะพื้นบ้านที่หลอมรวมอารมณ์ขัน วัฒนธรรม และปัญญาไทย ไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน และควรค่าแก่การอนุรักษ์ต่อไป

รำสวด

คณะรำสวดในระยอง – รักษาศิลปะปลอบขวัญในงานศพ

ในจังหวัดระยอง ศิลปะการแสดง รำสวดพื้นบ้าน เคยเป็นส่วนสำคัญของพิธีกรรมงานศพและงานประเพณีท้องถิ่น แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและค่านิยมที่เปลี่ยนไป ทำให้คณะรำสวดบางคณะต้องยกเลิกการแสดง หรือสมาชิกย้ายไปประกอบอาชีพอื่น ส่งผลให้จำนวนคณะที่ยังสืบสานศิลปะนี้ลดลงอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ยังมีคณะรำสวดบางคณะที่รักษาและสืบทอดศิลปะดั้งเดิมไว้ได้ เช่น คณะรำสวดอรชุน ลูกสุนทรภู่ ตั้งอยู่ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง คณะนี้ยังคงแสดงรำสวดในงานศพ งานบุญ และงานประเพณีสำคัญต่าง ๆ โดยการรำสวดถือเป็นพิธีปลอบขวัญเจ้าภาพและผู้ร่วมงาน เพื่อช่วยบรรเทาความเศร้าโศก พร้อมส่งเสริมความสามัคคีของชุมชน

การแสดงรำสวดผสมผสานระหว่างการขับร้องกลอนสด และการรำที่มีลีลาสวยงาม พร้อมด้วยดนตรีพื้นบ้านที่ช่วยเสริมบรรยากาศให้ศักดิ์สิทธิ์และอบอุ่น ศิลปะนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นพิธีกรรมทางวัฒนธรรม แต่ยังสะท้อนความผูกพันและการให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับตามประเพณีไทย

การสืบสานคณะรำสวดในระยองจึงถือเป็นการรักษามรดกภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การสนับสนุน เพื่อให้ศิลปะนี้ยังคงมีชีวิตและส่งต่อสู่คนรุ่นใหม่ได้อย่างยั่งยืน