“ภูมิปัญญาระยองคือสมบัติแห่งความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น”
ภูมิปัญญาระยองสะท้อนความชำนาญและความคิดสร้างสรรค์ของชาวท้องถิ่นในทุกด้านของชีวิต อาหารพื้นบ้านเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงภูมิปัญญา ผสมผสานวัตถุดิบท้องถิ่นทั้งทะเลและสวนผลไม้ให้เกิดรสชาติที่โดดเด่น การปรุงอาหารยังใช้สมุนไพรและเครื่องเทศที่สะท้อนความรู้ด้านโภชนาการและการถนอมอาหาร วิถีการเกษตรและประมงยังสอดคล้องกับธรรมชาติและฤดูกาล ทำให้เกิดความยั่งยืนในชีวิตและเศรษฐกิจชุมชน งานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านสะท้อนเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ที่สืบทอดมานาน การสร้างเครื่องมือ เครื่องจักสาน และการจัดการทรัพยากรท้องถิ่นแสดงถึงความรอบรู้และความละเอียดอ่อนในชีวิตประจำวัน การใช้ภูมิปัญญาเหล่านี้ยังเสริมสร้างความผูกพันของชุมชนและส่งต่อความรู้ให้รุ่นหลัง ภูมิปัญญาระยองไม่เพียงเป็นความภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้สนใจวัฒนธรรม การอนุรักษ์ภูมิปัญญาจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์และความรุ่งเรืองของจังหวัดระยอง.
ความหมายของภูมิปัญญาท้องถิ่น
ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ที่สั่งสมโดยคนในชุมชนท้องถิ่น ผ่านการปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวัน เป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสังเกต ทดลอง และปรับปรุงวิธีแก้ปัญหาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ทั้งทางธรรมชาติ สังคม และวัฒนธรรม เป็นความรู้ที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น สามารถนำไปใช้ในการจัดการชีวิต การผลิตอาหาร การทำเกษตรกรรม งานหัตถกรรม การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การรักษาสุขภาพ การจัดการชุมชน และการสืบสานประเพณี ศิลปะ หรือขนบธรรมเนียมท้องถิ่น นอกจากนี้ภูมิปัญญาท้องถิ่นยังเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ช่วยเสริมสร้างอัตลักษณ์ชุมชน และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีคุณค่าทั้งต่อคนในพื้นที่และบุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษาวัฒนธรรมและความรู้ดั้งเดิม
ประเภทของถูมิปัญญาท้องถิ่น
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ และ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) ได้กำหนดการจำแนก ภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ออกเป็น 9 ประเภทหลัก ได้แก่
เกษตรกรรม – ความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเพาะปลูก ปศุสัตว์ ประมง ป่าไม้
อุตสาหกรรมและหัตถกรรม – งานฝีมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ งานจักสาน การทอผ้า
การแพทย์แผนไทย – สมุนไพร การนวด การรักษาโรคพื้นบ้าน
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม – การอนุรักษ์น้ำ ดิน ป่าไม้ ทะเล
อาหาร – การถนอมอาหาร อาหารพื้นบ้าน เครื่องดื่ม ขนมท้องถิ่น
การจัดการ – วิธีบริหารชุมชน การแก้ปัญหา การอยู่ร่วมกัน
ศิลปกรรม – ดนตรี นาฏศิลป์ การแสดงพื้นบ้าน ศิลปะประจำถิ่น
ภาษาและวรรณกรรม – ภาษา ปริศนาคำทาย นิทานพื้นบ้าน เพลงกล่อมเด็ก
ปรัชญา ศาสนา และขนบธรรมเนียมประเพณี – ความเชื่อ ศาสนา พิธีกรรม ประเพณีต่าง ๆ
ใช้เรือเล็กและเครื่องมือประมงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อวนปูม้า อวนปลา ข่ายดักกุ้ง ซึ่งเลือกขนาดตาอวนให้เหมาะสม เพื่อไม่ทำลายสัตว์น้ำวัยอ่อน
มีความรู้เรื่องฤดูกาลจับสัตว์น้ำ เช่น ปูม้า ปลาทะเล และกุ้งเคย รู้ว่าช่วงไหนควรจับ ช่วงไหนควรงดเพื่อให้สัตว์น้ำวางไข่ได้
มีเทคนิค “ธนาคารปูม้า” โดยนำแม่ปูไข่นอกกระดองไปเลี้ยงในกระชังจนฟักลูกออกมาแล้วปล่อยคืนสู่ทะเล
2. ภูมิปัญญาการถนอมอาหารทะเล
ทำกะปิแท้จากกุ้งเคยที่จับได้ในพื้นที่ ใช้เพียงเกลือและการหมักตามธรรมชาติ
ทำปลาเค็ม ปลาส้ม หมึกแดดเดียว โดยอาศัยแดดทะเลและเกลือทะเลในท้องถิ่น
ทำผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาย่าง ที่ใช้วัตถุดิบสดจากเรือ
3. ภูมิปัญญาการจัดการทรัพยากรชายฝั่ง
มีความรู้เรื่องการปลูกและฟื้นฟูป่าชายเลน เพื่อให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำตามธรรมชาติ
ใช้การทำแนวเขตอนุรักษ์ (พื้นที่สงวน) ไม่ให้จับสัตว์น้ำ เพื่อให้ระบบนิเวศฟื้นตัว
นำวัสดุเหลือใช้ เช่น อวนเก่า ทุ่นชำรุด มาประดิษฐ์เป็นของใช้ใหม่ เพื่อลดขยะทะเล
4. ภูมิปัญญาด้านการตลาดและการท่องเที่ยวชุมชน
เปิด “ตลาดประมงเรือเล็กเก้ายอด” ให้ขายอาหารทะเลสดจากเรือโดยตรง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพและราคายุติธรรม
นำวิถีชีวิตประมงมาเล่าเป็น “การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ” ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ ลงเรือ ทดลองวางอวน และปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำด้วยตนเอง
สร้างแบรนด์และเอกลักษณ์ของชุมชน ให้เป็นที่รู้จักในฐานะ “ชุมชนประมงยั่งยืน”
สรุปแล้ว ภูมิปัญญาของชุมชนนี้คือการผสมผสาน ความรู้ดั้งเดิมของการทำประมงชายฝั่ง กับ แนวคิดการอนุรักษ์และการตลาดสมัยใหม่ จนกลายเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่ยังคงรักษาทะเลให้ยั่งยืนครับ
ชมรมประมงเรือเล็กพื้นบ้าน จังหวัดระยอง เกิดจากวิกฤตการใช้ทรัพยากรทางทะเลที่รุนแรงในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการใช้อวนล้อมหิน การทำลายปะการัง หรือการใช้ระเบิดและสารเคมี ส่งผลให้สัตว์น้ำลดลงและชาวประมงต้องออกหากินไกลจนรายได้ลดลง การรวมตัวของกว่า 400 ครัวเรือนจึงจัดตั้งชมรมขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือการทำประมงเชิงอนุรักษ์เพื่อฟื้นฟูทรัพยากรและสร้างความมั่นคงในอาชีพสำหรับลูกหลาน
โครงการสำคัญของชมรมคือการสร้างบ้านปลา หรือปะการังเทียม เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ เดิมใช้ยางรถยนต์ซึ่งเสื่อมสภาพและกลายเป็นขยะทะเล ต่อมาภาคอุตสาหกรรมอย่าง SCG สนับสนุนวัสดุท่อ PE100 ที่แข็งแรงและปลอดภัย นำมาประกอบเป็นบ้านปลาทรงพีระมิดที่กระจายอยู่ในน่านน้ำระยองมากกว่า 900 หลัง กลายเป็นแหล่งฟื้นฟูที่สำคัญ
ชมรมยังออกมาตรการเชิงอนุรักษ์ เช่น กำหนดเขตอนุรักษ์รอบบ้านปลาในรัศมี 200 เมตร ห้ามทำประมงทุกชนิด และได้รับการเสริมด้วยกฎหมายที่ห้ามประมงพาณิชย์ในระยะ 3,000 เมตรจากชายฝั่ง ทำให้พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นเขตอภัยทานทางทะเล สัตว์น้ำจึงมีโอกาสขยายพันธุ์และฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศ
ภายในเวลาเพียง 4 ปี ชาวประมงเห็นผลชัดเจน รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จากเดิมที่ต้องออกหาปลาหลายกิโลเมตรแต่ได้ผลน้อย ปัจจุบันทำประมงได้เพียง 300–400 เมตรจากชายฝั่ง รายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มจาก 100–200 บาท เป็นมากกว่า 1,200 บาทต่อคน การฟื้นฟูจึงช่วยทั้งสิ่งแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิต
เหนือสิ่งอื่นใดคือการสร้างจิตสำนึกใหม่ในชุมชน ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันอนุรักษ์ทะเล แทนการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังดึงเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสืบทอดแนวคิดการประมงเชิงอนุรักษ์ ลดปัญหาสังคม และสร้างความภาคภูมิใจในวิถีอาชีพดั้งเดิมของคนระยอง กรณีนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญว่าการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและความมั่นคงของชุมชนสามารถเกิดขึ้นได้จริงเมื่อมีความร่วมมือร่วมใจ
กะปิเป็นเครื่องปรุงพื้นบ้านที่อยู่คู่ครัวไทยมาอย่างยาวนาน รสเค็มและกลิ่นเฉพาะตัวทำให้กะปิกลายเป็นหัวใจสำคัญของอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นน้ำพริก แกงเผ็ด หรือแม้กระทั่งการนำมาจิ้มผลไม้รสเปรี้ยว ความพิถีพิถันในการทำกะปิไม่เพียงสะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่ยังเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้อาหารไทยมีรสชาติแตกต่างจากชาติอื่น
กะปิ หรือ Shrimp paste เกิดจากการนำสัตว์น้ำขนาดเล็กที่เรียกว่า “เคย” มาคลุกกับเกลือแล้วหมักจนได้รสชาติและกลิ่นหอมเฉพาะ ภาคใต้บางพื้นที่เรียกเคยว่า “เยื่อเคย” และบางครั้งใช้แทนคำว่ากะปิได้เลย แหล่งผลิตกะปิที่มีชื่อเสียง ได้แก่ นครศรีธรรมราช ระนอง สมุทรสงครามที่ขึ้นชื่อเรื่องกะปิคลองโคน และจังหวัดระยองที่มีวิถีการทำกะปิเป็นเอกลักษณ์
กะปิในตลาดมีหลายชนิด กะปิตำน้ำพริกจะมีรสเค็มจัด เนื้อแน่น กลิ่นหอมแรง เหมาะสำหรับตำพริกและน้ำพริกกะปิ ส่วนกะปิที่ใช้ผสมในพริกแกงจะมีรสกลมกล่อมกว่า โดยมีการแบ่งคุณภาพเป็นเบอร์ต่างๆ เช่น เบอร์ 50 ซึ่งเป็นกะปิอย่างดี สีเข้มและกลิ่นแรง ส่วนเบอร์ 20 เป็นกะปิทั่วไปที่ราคาย่อมเยา
ความแตกต่างระหว่างวัตถุดิบที่ใช้ทำกะปิถือว่าสำคัญอย่างมาก “เคย” มีลักษณะตัวใส ตาดำ เปลือกบาง และไม่มีกรี ทำให้ได้กะปิที่หอมและเนื้อเนียน ในขณะที่ “กุ้งเคย” หรือ Krill มีขนาดใหญ่กว่า มีขาหลายคู่และกรีแหลมตรงหัว แม้จะหาง่ายกว่าแต่ก็ให้คุณภาพด้อยลง ปัจจุบันยังมีการนำเนื้อปลาและกากปลามาผสม ทำให้กะปิที่ได้กลายเป็นเพียงเครื่องปรุงราคาถูกซึ่งขาดความหอมแท้ของเคย
ฤดูกาลจับเคยแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ภาคตะวันออก เช่น ระยองและตราด มักจับได้มากในช่วงพฤษภาคมถึงธันวาคม ขณะที่สมุทรสาครและเพชรบุรีจับได้แทบทั้งปี ภาคใต้แถบชุมพรและสุราษฎร์ธานีจะมีช่วงจับหลักในเดือนมีนาคม–เมษายน และกรกฎาคม–สิงหาคม ส่วนภาคใต้ตอนล่างอย่างนครศรีธรรมราชและนราธิวาสจับได้ดีที่สุดในช่วงต้นปี ระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม โดยช่วงที่ถือว่าดีที่สุดคือช่วง “น้ำใหญ่” ระหว่างแรม 12 ค่ำ – ขึ้น 4 ค่ำ และ ขึ้น 12 ค่ำ – แรม 3 ค่ำ
วิธีทำกะปิเคยแท้แบบโบราณยังคงพบได้ในหลายชุมชนชายฝั่ง ตัวอย่างเช่นที่บ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง เริ่มจากการคัดเลือกเคยสด ล้างด้วยน้ำทะเลเพื่อป้องกันการเน่าเสีย จากนั้นนำมาคลุกกับเกลือในอัตราส่วน 5 กิโลกรัมต่อเกลือ 1 กิโลกรัม แล้วหมักทิ้งไว้หนึ่งคืน เมื่อเคยเริ่มเซ็ตตัวจึงนำมาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แล้วตากแดด 1–3 วัน
หลังจากนั้นจะนำมาตำในครกไม้จนละเอียด โดยต้องรอให้เคยเย็นก่อนเพื่อไม่ให้เกิดรสขม สีของกะปิที่ได้จะเปลี่ยนเป็นแดงโดยธรรมชาติ ก่อนนำไปอัดในโอ่ง ปิดด้วยผ้าพลาสติกและโรยเกลือเม็ดไว้ด้านบน ทิ้งไว้ 3–4 วันเพื่อให้น้ำเคยออกมา แล้วหมักต่ออีกประมาณ 45 วัน กะปิที่ได้จะหอม กลมกล่อม และสามารถเก็บรักษาได้นานถึงสองปี
การเลือกซื้อกะปิคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ กะปิแท้ควรมีสีแดงอมม่วง ไม่คล้ำจนเกินไป เนื้อเนียนละเอียด ไม่หยาบ และมีกลิ่นหอมของเคยที่ไม่ฉุนแสบจมูก หากสังเกตเห็นตาเคยเล็กๆ ปะปนอยู่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าใช้เคยแท้ ในทางตรงกันข้าม กะปิที่มีเกลือเม็ดใหญ่ เนื้อหยาบ หรือกลิ่นแรงผิดปกติ มักเป็นกะปิที่ผสมปลาหรือกากปลา
กะปิแท้ 100% จะทำจากเพียงเคยและเกลือโดยไม่ผสมสิ่งอื่นใด ความเรียบง่ายนี้เองที่ทำให้กะปิเป็นทั้งมรดกภูมิปัญญาและรสชาติที่คู่ควรกับอาหารไทยทุกชนิด นอกจากนี้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศทางทะเลยังมีผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของเคยและการผลิตกะปิ หากทะเลเสื่อมโทรม การทำกะปิแท้ก็อาจเหลือเพียงตำนาน
กะปิจึงไม่ใช่แค่เครื่องปรุงรส แต่คือเรื่องราวของวิถีชีวิต ความผูกพันของชุมชนชายฝั่ง และภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน สำหรับผู้ที่รักการทำอาหารไทย กะปิเคยแท้คือสิ่งที่ควรมีติดครัว เพื่อให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมสมบูรณ์ และเพื่อรักษาคุณค่าของวัฒนธรรมการกินอยู่อย่างไทยไว้ต่อไป
วิถีชีวิตที่ผูกพันกับผืนผ้า
หากเอ่ยถึงบ้านเพ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง หลายคนอาจนึกถึงท่าเรือที่คึกคักและเป็นประตูสู่เกาะเสม็ด แต่หากย้อนเวลากลับไปสักหลายสิบปีก่อน ภาพจำที่ผู้คนจะได้เห็นไม่ใช่เพียงเรือประมงลำเล็กที่เรียงรายอยู่ริมชายหาด หากแต่ยังมีภาพชายชาวประมงนุ่ง “ผ้าตากะหมุก” เดินแบกอวนออกทะเลในยามเช้า หรือไม่ก็นั่งซ่อมเรืออยู่ใต้ถุนบ้านในยามเย็น กลิ่นคาวปลาและเสียงคลื่นประสานกับลวดลายบนผืนผ้า ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่เรียบง่ายและแข็งแรง
ลักษณะและการใช้งาน
ผ้าตากะหมุกเป็นผ้าทอมือพื้นเมือง ลักษณะเป็นผ้าโสร่งที่ทำจากฝ้ายหรือใยสับปะรด ลายที่นิยมคือ ลายตารางหรือลายเส้นสลับสีในโทนเข้ม เช่น น้ำเงิน เขียว แดง หรือน้ำตาลเข้ม จุดเด่นคือความเบาสบายและทนทาน สามารถใช้งานได้สารพัดประโยชน์ ทั้งนุ่งห่มในชีวิตประจำวัน ปูนั่ง ห่มคลายหนาว หรือห่อสิ่งของ
ผ้าที่เป็นมากกว่าของใช้
ในอดีตแทบทุกบ้านในชุมชนบ้านเพจะมีผ้าตากะหมุก โดยเฉพาะลูกชายที่เข้าสู่วัยหนุ่มมักได้รับมอบจากพ่อแม่ให้ใช้ติดตัวตลอดชีวิต นี่จึงเป็นเครื่องหมายของการสืบทอดวิถีลูกทะเล และเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชายบ้านเพ
เรื่องราวของผ้าตากะหมุกยังคงถูกถ่ายทอดผ่านผู้รู้ในชุมชน
คุณจิรพันธ์ เล่าว่า ผ้าตากะหมุกทอจากใยสับปะรด ยิ่งซักยิ่งนุ่มและสวยงาม แตกต่างจากความเข้าใจที่ว่าผ้าชนิดนี้จะหยาบกระด้าง
คุณเฉลี่ยว อธิบายว่า สมัยก่อนชายบ้านเพทุกคนต้องมีผ้าตากะหมุก เพราะใช้ง่าย สวมใส่สะดวก และเหมาะกับการทำงานทุกประเภท
คุณอำไพ ย้ำว่า ผ้าตากะหมุกคืออัตลักษณ์บ้านเพ เป็นเครื่องบ่งบอกว่า “เราเป็นลูกทะเล” และควรอนุรักษ์เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้
เสียงสะท้อนเหล่านี้ทำให้ผ้าตากะหมุกไม่ใช่เพียงผืนผ้า แต่เป็นความทรงจำที่ฝังรากในวิถีชีวิตชุมชน
บันทึกในประวัติศาสตร์
นอกจากการใช้จริงในชีวิตประจำวันแล้ว ผ้าตากะหมุกยังถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2419 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์เสด็จประพาสช่องแสมสาร เจ้าเมืองระยองพร้อมขุนนางและพ่อค้าคหบดีได้เข้าเฝ้าและถวายของล้ำค่า หนึ่งในนั้นคือ “ผ้าไหม” และ “ผ้าตากะหมุก” นับเป็นครั้งแรกที่ผ้าตากะหมุกปรากฏในเอกสารทางราชการ และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับจังหวัดระยอง
เสน่ห์ของเนื้อผ้า
ผ้าตากะหมุกโดดเด่นตรงที่ “ยิ่งซักยิ่งสวย” เนื้อผ้าที่ทอจากใยสับปะรดแข็งแรง แต่เมื่อใช้งานและซักบ่อย ๆ กลับนุ่มและเงางามขึ้นเรื่อย ๆ คุณจิรพันธ์มองว่านี่คือเสน่ห์ที่ทำให้มันแตกต่างจากผ้าอื่น ๆ และกลายเป็นงานหัตถกรรมที่มีชีวิต
ความหมายทางสังคมและวัฒนธรรม
การมอบผ้าตากะหมุกให้ลูกชายในครอบครัวเปรียบเสมือนการสืบทอดอัตลักษณ์และการปลูกฝังความภูมิใจในความเป็นลูกบ้านเพ นอกจากนี้ผ้ายังปรากฏในงานบุญหรืองานชุมชนในฐานะของใช้และของฝากที่สะท้อนความเป็นท้องถิ่น
การเลือนหายและความพยายามฟื้นฟู
เมื่อสังคมเปลี่ยนไป เสื้อผ้าสำเร็จรูปเข้ามาแทนที่ ทำให้ผ้าตากะหมุกค่อย ๆ หายไปจากชีวิตประจำวัน ปัจจุบันเหลือเพียงในความทรงจำ อย่างไรก็ดี มีความพยายามฟื้นฟู เช่น การผลักดันให้เป็น “ผ้าประจำจังหวัดระยอง” การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมสมัยทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น ของใช้ และของที่ระลึก เพื่อให้ผ้าตากะหมุกยังคงอยู่ในวิถีชีวิตคนปัจจุบัน
มรดกที่มีชีวิต
ผ้าตากะหมุกจึงไม่ใช่เพียงผ้าท้องถิ่นโบราณ แต่คือมรดกภูมิปัญญาที่สะท้อนวิถีลูกทะเล ความอดทน และความผูกพันกับธรรมชาติ การอนุรักษ์และสืบสานผ้าตากะหมุกจึงเท่ากับการรักษาเรื่องราวของชุมชนบ้านเพ และการส่งต่อความภาคภูมิใจนี้ให้ลูกหลานระยองต่อไป
บ้านมาบเหลาชะโอน หมู่ที่ 5 ตำบลชากพง อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นชุมชนชนบทที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดมานานกว่า 200 ปี คำว่า “มาบ” หมายถึงพื้นที่ลุ่มกว้าง ส่วน “เหลาชะโอน” เป็นชื่อของปาล์มชนิดหนึ่ง เมื่อนำมารวมกันจึงเป็นชื่อหมู่บ้านที่สะท้อนถึงทำเลที่ตั้งซึ่งมีทั้งแหล่งน้ำและต้นไม้พื้นถิ่นรายล้อม
จุดเด่นของบ้านมาบเหลาชะโอนอยู่ที่การเป็นหมู่บ้าน OTOP และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่ผสานทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสอาหารทะเลพื้นบ้านรสชาติจัดจ้าน พร้อมทั้งเรียนรู้ภูมิปัญญา การจักสานกระจูด ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน กระจูดจากบึงสำนักใหญ่—พื้นที่ชุ่มน้ำกว่า 3,800 ไร่—ถูกนำมาใช้ประโยชน์ตั้งแต่สมัยอยุธยา ทั้งการทำเสื่อ กระสอบ และภาชนะต่าง ๆ จนพัฒนาต่อยอดมาเป็นสินค้าหลากหลาย เช่น กระเป๋า ตะกร้า กล่อง รองเท้า และหมวก
นอกจากนี้ บริเวณรอบหมู่บ้านยังมีทิวทัศน์ที่งดงาม โดยเฉพาะเมื่อขึ้นไปยังโบสถ์หินอ่อนบนยอดเขา ที่สามารถมองเห็นชายทะเลและหมู่เกาะบริเวณหาดวังแก้วและแหลมแม่พิมพ์อันมีชื่อเสียงได้อย่างชัดเจน บริเวณบึงสำนักใหญ่เองก็เป็นพื้นที่พักผ่อนและแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของคนในท้องถิ่น
ชุมชนแห่งนี้ได้รวมตัวจัดตั้ง กลุ่มจักสานกระจูดบ้านมาบเหลาชะโอน เมื่อปี 2544 โดยมีนางสุนทรียิ้มเยือนเป็นแกนนำ เริ่มแรกมีเพียง 17 คน แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นกลุ่มที่มีการจัดการอย่างมืออาชีพ ทั้งระบบการผลิต การออกแบบ และการตลาด จนผลิตภัณฑ์ได้รับการรับรอง OTOP ระดับ 4 ดาว และส่งออกไปยังต่างประเทศ
บ้านมาบเหลาชะโอนจึงไม่เพียงเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย แต่ยังเป็น แหล่งภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนถึงความสามัคคีและความสามารถในการปรับตัวของชุมชน ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่ควรค่าแก่การไปเยือนของผู้ที่สนใจวิถีชีวิตท้องถิ่นและงานหัตถกรรมไทยแท้
อนุรักษ์การนวดไทยวัดบ้านดอน: ศูนย์สมุนไพรและการแพทย์แผนไทยในชุมชน
ที่ วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง มีความภาคภูมิใจในการสืบสานภูมิปัญญาการนวดไทย ผ่านกลุ่ม อนุรักษ์การนวดไทยวัดบ้านดอน หรือที่รู้จักกันในชื่อ ศูนย์สมุนไพรและการแพทย์แผนไทยวัดบ้านดอน
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2539 ขณะนั้น นางชั้นเชิง แจ่มแจ้ง เสนอแนวคิดโครงการแพทย์แผนไทยให้กลุ่มอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อ.ส.ม.) ของสถานีอนามัยบ้านดอน หลังจากอธิบายรายละเอียดโครงการ สมาชิกทุกคนเห็นด้วย จึงลงมติเห็นควรจัดตั้งกลุ่ม โดยระดมทุนจากงานสังสรรค์ของชุมชน ได้เงิน 75,000 บาท หลังหักค่าใช้จ่าย
เรื่องต่อมาคือการหาสถานที่ตั้งกลุ่ม สมาชิกได้เสนอ 3 แห่ง ได้แก่ สถานีอนามัยบ้านดอน ที่อ่านหนังสือพิมพ์สี่แยกบ้านดอน และ วัดบ้านดอน ผลการประชุมปรากฏว่าชาวบ้านส่วนใหญ่สนับสนุนให้ตั้งกลุ่มที่วัดบ้านดอน ขณะเดียวกัน พระครูปลัดวิรัตน์ อคคธมโม เจ้าอาวาสวัดบ้านดอน เสนอใช้อาคารศาลาไม้เดิมที่ไม่ได้ใช้งานมาก่อสร้างอาคารนวดริมสระน้ำด้านตะวันตก
อาคารเริ่มแรกประกอบด้วย ห้องนวด 5 เตียง และ ห้องประคบ 2 เตียง ส่วนเงินทุนจากงานสังสรรค์สร้าง ห้องอบสมุนไพรชาย-หญิง 2 ห้อง และห้องน้ำ 2 ห้อง การฝึกอบรมหมอนวดได้ความรู้จาก คุณสมวรรณ มุกดาสนิท เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดระยอง และโรงพยาบาลวังจันทร์
กลุ่มอนุรักษ์การนวดไทยวัดบ้านดอนเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการวันที่ 11 กรกฎาคม 2540 ภายใต้การดูแลของสาธารณสุข ต่อมาโยกย้ายมาดูแลโดยวัดบ้านดอนเอง กลุ่มส่งผู้สนใจไปเรียนหลักสูตรการนวดจากสถาบันต่าง ๆ และต้องมี ใบประกอบการนวด หรือใบมาตรฐานหมอ ก่อนเข้าทำงาน
ปัจจุบันศูนย์มี อาคารนวด 4 หลัง ได้แก่ อาคารการนวดไทย, อาคารห้องอบสมุนไพร, อาคารเรือนไทยเสริมความงามหลังคลอด, และอาคารประคบสมุนไพร มี เตียงทั้งหมด 24 เตียง หมอนวดและเจ้าหน้าที่รวม 33 คน เปิดบริการเวลา 07.00 – 16.00 น. หยุดทุกวันพระ
ศูนย์แบ่งประเภทการนวดเป็น 4 ประเภทหลัก
นวดตัว – นวดทั่วร่างกายเพื่อผ่อนคลาย โดยหมอนวดชำนาญ พร้อมให้คำแนะนำ
นวดฝ่าเท้า – เน้นนวดจุดฝ่าเท้าเพื่อกระตุ้นระบบร่างกาย
นวดประคบ – ใช้สมุนไพรเพื่อให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น
อบสมุนไพร – เข้าอบตัวด้วยความร้อนจากไอน้ำสมุนไพร
ข้อควรรู้ก่อนนวด ได้แก่ หลีกเลี่ยงผู้ป่วยโรคติดต่อ ผู้มีบาดแผล โรคความดัน, สตรีมีรอบเดือน หรือสตรีมีครรภ์ (สามารถนวดได้แต่ไม่แนะนำให้นอนคว่ำ)
ศูนย์อนุรักษ์การนวดไทยวัดบ้านดอนไม่เพียงเป็นสถานที่ให้บริการสุขภาพ แต่ยังเป็น แหล่งเรียนรู้และสืบสานภูมิปัญญาชาวบ้าน ทำให้คนรุ่นใหม่ได้สัมผัสความงดงามของการนวดไทย และรักษาวัฒนธรรมไทยให้อยู่คู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
Facebook กลุ่มอนุรักษ์การนวดแผนไทยวัดบ้านดอน