เมื่อเรามองระยองในสายตาของผู้ผ่านทาง อาจเห็นเพียงเมืองอุตสาหกรรมที่พลุกพล่านด้วยโรงงานและท่าเรือสมัยใหม่ ทว่า หากมองด้วยหัวใจที่อ่อนโยน เราจะพบว่าระยองคือแผ่นดินแห่งเรื่องเล่า วิถี และภูมิปัญญา ที่สืบต่อจากบรรพชนมาจนถึงวันนี้
ภูมิปัญญาเหล่านี้ไม่จำกัดอยู่เพียงในงานหัตถกรรมหรือพิธีกรรม หากแต่ปรากฏในทุกอณูของชีวิต ตั้งแต่รสชาติของผลไม้เมืองร้อนที่ต้องอาศัยความรู้ในการดูแลดินฟ้าอากาศ การแปรรูปอาหารทะเลให้คงรสชาตินานวัน จนถึงเสียงเพลงรำวงที่ก้องกังวานในค่ำคืนยามชุมชนมารวมตัวกัน ทั้งหมดนี้คือมรดกที่คนระยองสร้างขึ้นด้วยความรักและความผูกพันต่อแผ่นดิน
บางครั้งสิ่งเหล่านี้มิได้ถูกบันทึกหรือกล่าวถึงในเวทีใหญ่โต จนผู้คนนอกพื้นที่อาจไม่ตระหนักถึงคุณค่า ทว่า ความจริงแล้วภูมิปัญญาไม่เคยเลือนหาย มันยังคงซ่อนอยู่ในสำรับอาหารพื้นบ้าน ในสำเนียงถ้อยคำ และในเสียงดนตรีที่ยังมีชีวิตอยู่ในใจผู้คน
การกล่าวถึงภูมิปัญญาในเวทีสาธารณะ จึงมิใช่เพียงการจารึกอดีต หากแต่เป็นการยืนยันตัวตนของชุมชน และสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ ว่าสิ่งที่บรรพชนสร้างไว้นั้นทรงคุณค่าเพียงใด การยกย่องเช่นนี้ทำให้เราตระหนักว่า ระยองมิใช่เพียงเมืองชายทะเลหรือฐานเศรษฐกิจ หากแต่คือถิ่นที่โอบอุ้มทั้งความรู้ ศิลปะ และวิถีแห่งความงาม
ในแง่นี้ การบอกเล่าภูมิปัญญาไม่ใช่เพียงการสั่งสมความทรงจำ แต่คือการปลุกความภาคภูมิใจในหัวใจคนระยอง ให้รู้ว่าตนยืนอยู่บนมรดกที่ล้ำค่าและเป็นเอกลักษณ์ หาได้ยากในที่อื่น ความภูมิใจเช่นนี้จะเป็นพลังเงียบที่ผลักดันให้คนในถิ่นร่วมกันสืบสานและต่อยอด
ระยองมีทั้งเสียงเพลงที่ชวนให้รำวง มีรสชาติผลไม้ที่ฝากชื่อเสียงไปทั่วประเทศ มีภาษาและคำพูดที่บ่งบอกความเป็นถิ่นฐาน ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนภูมิปัญญาที่ควรค่าแก่การบันทึกและการสืบต่อ เพราะมันไม่ใช่เพียงของเก่า หากแต่คือรากฐานที่ทำให้สังคมยืนหยัดได้อย่างมั่นคง
และสุดท้าย ภูมิปัญญาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่ง หากแต่ปรับตัวและเติบโตตามกาลเวลา การยกย่องและระลึกถึงภูมิปัญญาจึงมิใช่เพียงการหันกลับไปมองอดีต แต่คือการมองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง ว่าระยองจะยังคงงดงามทั้งในฐานะเมืองแห่งอุตสาหกรรม และในฐานะถิ่นแห่งวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่งดงามไม่แพ้กัน