ร้อยเรื่องเมืองระยอง

หนังใหญ่ไทยสู่ยูเนสโก: การฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมหนังใหญ่โดยชุมชน

ในค่ำคืนหนึ่งที่เงียบสงัดของชุมชนภาคกลาง เสียงปี่พาทย์แผ่วเบาเป็นจังหวะคอยนำทางให้สายตาของผู้คนหลงใหลอยู่ในแสงเงาที่ทอออกมาจากตัวหนังใหญ่ หนังใหญ่เหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเศษไม้แกะสลักและผ้าขาวที่ขึงตึง แต่เป็นมหรสพโบราณที่สืบทอดมานับพันปี เรื่องราวของรามายณะหรือรามเกียรติ์ถูกพาผ่านฝ่ามือของช่างฝีมือ ผู้พากย์ที่ใช้ถ้อยคำร้อยกรองราวกับบทกวี และนักดนตรีที่ตีความทุกเสียงให้มีชีวิต ความเคลื่อนไหวและเงาของตัวหนังใหญ่ไม่เพียงสะท้อนตำนานเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ และจิตวิญญาณของคนไทยในแต่ละยุคสมัย

ย้อนกลับไปในสมัยอยุธยา ตัวหนังใหญ่ปรากฏอยู่ในพระราชสำนัก เป็นมหรสพชั้นสูงที่ใช้แสดงในพระราชพิธีของเจ้านายและพระมหากษัตริย์ ก่อนจะแพร่กระจายสู่ชุมชนชาวบ้านที่นำเค้าโครงจากมหรสพหลวงมาดัดแปลงให้เข้ากับวิถีชีวิตประจำวัน ตั้งแต่การแสดงในวัดต่าง ๆ ไปจนถึงงานประเพณีท้องถิ่นในภาคกลางและภาคตะวันออก การเล่นหนังใหญ่ไม่ใช่เพียงความบันเทิง แต่เป็นพื้นที่เรียนรู้ทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น นักวิชาการและช่างฝีมือที่ชื่อเสียงถูกจารึกในประวัติศาสตร์ เช่น อาจารย์ฤทธิ์ หลวงพ่อฤทธิ์ ครูเลิศ และครูผิน ได้ร่วมกันสร้างตัวหนังใหญ่และฝึกสอนศิลปะนี้ให้กับชุมชน เพื่อให้ศิลปะการแสดงนี้ไม่สูญหายไปกับกาลเวลา

กาลเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเข้ามาของมหรสพสมัยใหม่ เช่น ภาพยนตร์และละครเวที ทำให้ความนิยมหนังใหญ่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ความพยายามในการฟื้นฟูโดยชุมชนไม่เคยหยุดยั้ง หนังใหญ่ที่ยังคงแสดงอยู่มีเพียงสามแห่ง ได้แก่ วัดขนอน จังหวัดราชบุรี วัดบ้านดอน จังหวัดระยอง และวัดสว่างอารมณ์ จังหวัดสิงห์บุรี ในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ชุมชนเหล่านี้ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการอนุรักษ์ตัวหนังโบราณ สร้างตัวหนังชุดใหม่ ฝึกนักแสดงรุ่นใหม่ และจัดการแสดงที่ผสมผสานวิถีดั้งเดิมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การใช้ไฟฟ้าแทนกะลามะพร้าว แต่ยังคงรักษาแก่นสารแห่งแสงและเงาที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังใหญ่

ไม่เพียงเท่านั้น การฟื้นฟูหนังใหญ่ยังเป็นการสร้างเครือข่ายทางสังคมที่เข้มแข็ง เชื่อมโยงวัด ชุมชน โรงเรียน และหน่วยงานท้องถิ่นให้ร่วมมือกันรักษามรดกทางวัฒนธรรม หนังใหญ่กลายเป็นทั้งสัญลักษณ์และบทเรียนชีวิตที่สอนให้คนรุ่นใหม่รู้จักคุณค่าแห่งอดีต และเห็นความสำคัญของการสืบทอดวัฒนธรรมร่วมกัน ความพยายามนี้ได้รับการสนับสนุนและเสนอขึ้น ยูเนสโกในประเภท Register of Good Safeguarding Practices เพื่อให้หนังใหญ่ไทยไม่เพียงเป็นสมบัติของชุมชนท้องถิ่น แต่เป็นแรงบันดาลใจให้แก่มหรสพโบราณอื่น ๆ ทั่วโลก

ในค่ำคืนของเทศกาล “หนังใหญ่ไฟกะลา” แสงไฟจากกะลามะพร้าวส่องประกายบนผืนผ้าขาว เรื่องราวของรามายณะเคลื่อนไหวเป็นเงาลาง ๆ ราวกับพายุที่แผ่วเบา แต่กลับเต็มไปด้วยพลัง หนังใหญ่ยังคงมีชีวิต แม้โลกสมัยใหม่จะเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด การปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยใหม่ ความร่วมมือของชุมชน และความตั้งใจของผู้คนในการสืบทอดวัฒนธรรม ทำให้มหรสพโบราณนี้ยังคงมีลมหายใจ และส่องประกายต่อไปในหัวใจของผู้คนทุกวัย

หนังใหญ่ไทยจึงไม่ใช่เพียงศิลปะการแสดง แต่เป็น ตัวแทนของการเรียนรู้ การอนุรักษ์ และการปรับตัวของชุมชน เป็นสะพานเชื่อมอดีตกับปัจจุบัน เป็นบทเรียนของความยืดหยุ่นและความรักในวัฒนธรรมที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ และเป็นแรงบันดาลใจให้โลกเห็นถึงคุณค่าของมรดกวัฒนธรรมที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง